简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:มือใหม่จดเลย ! ทำความรู้จักทฤษฎี Wyckoff Logic
วันนี้แอดเหยี่ยวนำบทความดี ๆ จากคุณ Alice Veronica มาฝากกันอีกแล้ว โดยเนื้อหาในครั้งนี้คือเรื่อง “ Wyckoff Logic”
โดยเราจะเเบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้เเก่
• ระยะสะสม (Accumulation Phase)
• ระยะเติบโต (Mark Up Phase)
• ระยะกระจายของ (Distribution Phase)
• ระยะถดถอย (Mark Down Phase)
ระยะสะสม (Accumulation Phase) ก่อนจะเกิด Accumulation Phase กราฟราคาต้องอยู่ในช่วง MarkDown Phase และกำลังไหลลงมาเรื่อย ๆ ด้วยแท่งเทียนแดงปกติ แต่พอราคาลงเรื่อย ๆ มาถึงจุดหนึ่ง มันจะมีจุดที่คนในตลาดรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เราต้องออกหรือเทขายออกมา จนราคาเกิดเป็นแท่งแดงยาวเราจะเรียกว่า จุด Selling Climax พอคนส่วนใหญ่ได้ขายออกมาแล้ว ทำให้แรงขายเริ่มหมดลงและกราฟราคาจะเข้าสู่ระยะสะสม ราคาหุ้นที่อยู่ในระยะนี้ก็จะมีลักษณะวิ่งขึ้นวิ่งลงเป็นกรอบราคา Sideway ไปเรื่อยๆ ต้องรอคนที่จะมาทำราคาชุดใหม่มาเก็บของก่อน โดยจุดสังเกตคือ ราคาในกรอบนี้จะไม่หลุดราคา Low ในวันที่เกิด Selling Climax หรือถ้าราคามันหลุด Low นั้นลงไป ต้องหลุดแค่แป๊ปเดียว ก็ต้องลากกลับเข้ามาอยู่ในกรอบแล้ว เหมือนแค่หลอกเฉย ๆ ถ้าราคามันหลุดลงไปแล้วไม่วิ่งกลับมาในกรอบ แสดงว่า อาจจะยังไม่ใช่ระยะสะสม ระยะสะสมนี้อาจจะใช้เวลาหลักเดือน หรือจนถึงหลายปีก็ได้ แล้วแต่เลย
ระยะเติบโต (Mark Up Phase) จุดสังเกตของราคาที่มีโอกาสเปลี่ยนจากระยะสะสมมาเป็น Mark Up Phase คือการที่ราคาขึ้นมา Breakout กรอบของระยะสะสมด้วยแท่งเทียนเขียวใหญ่ ราคาจะเข้าสู่ระยะขาขึ้น ราคาในระยะนี้จะมีลักษณะของการทำ Higher High และ Lower High คือการทำจุดสูงสุดใหม่ และ จุดต่ำสุดใหม่ที่ยกสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามหลัก Uptrend ของ Dow Theory และราคาจะเป็นแบบนี้ไปจนเจอจุดที่เกิดแท่งเขียวใหญ่มากๆ อีกที ที่มี Volume การซื้อขายทะลักเข้ามาเยอะมาก ๆ (Buying Climax) เหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้ซื้อเริ่มทนไม่ไหว ขึ้นเท่าไหร่ก็ไม่ลงสักที เลยรุมกระโดดเข้าไปซื้อกัน พอคนส่วนใหญ่ที่อยากซื้อ ได้ซื้อกันแล้ว จึงทำให้ราคาหยุดขึ้น และทำกรอบ Sideway ทันที
ระยะกระจายของ (Distribution Phase) ทรงกราฟราคาของระยะนี้ ก็จะคล้าย ๆ กับระยะสะสม แต่ว่ากลับกันมาอยู่ข้างบนแทน คือราคาในกรอบนี้ก็จะแกว่งตัวในกรอบ Sideway ที่จะไม่ Breakout จุดสูงสุดในวันที่เกิด Buying Climax หรือต่อให้ Breakout ขึ้นไปได้ ก็ควรต้องกลับลงมาในกรอบทันที แต่ถ้ามัน Breakout ขึ้นไปและยืนเหนือกรอบได้ แสดงว่าตรงจุดนี้อาจจะยังไม่ใช่ระยะกระจายของ
ระยะถดถอย (Mark Down Phase) หลังจากราคามีการทำกรอบ Sideway และคนทำราคาได้กระจายของออกมาเมื่อรายย่อยมากพอแล้ว โดยปกติเขาอาจจะทุบราคาลงมาเพื่อให้คนตกใจ และขายออกให้ถูกลง เพื่อที่เขาจะได้เข้าไปช้อนซื้อใหม่ในราคาที่ถูกกว่า Zone ราคาที่เขาขายไป
*แต่ต่อให้เขาไม่ทุบลงมา คือพอหุ้นมันกระจายอยู่ในมือรายย่อยมากๆแล้ว มันจะไม่มีใครพาราคากันขึ้นไปเพราะต่างคนต่างมีของแล้ว ก็มีแต่รอให้คนเข้ามาซื้อที่แพงกว่าเดิม ซึ่งไม่มีแล้ว พอไม่มีแรงซื้อ มันก็จะค่อยๆ มีคนทยอยขายออกมาเรื่อยๆ จนราคาไหลทะลุหลุดกรอบ Sideway ลงมา ราคาที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ก็จะทำตามหลัก Downtrend ของ Dow Theory เลย คือ ทำ Lower Highและ Lower Low คือทำจุดสูงสุด และจุดต่ำสุด ที่ลดลงเรื่อยๆ และรอวันที่เกิดSelling Climax เพื่อเข้าสู่ระยะสะสมเพื่อรอเริ่มใหม่ต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจากเพจ Alice Veronica
แอดเหยี่ยวหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย และที่สำคัญก่อนที่จะเลือกเทรดกับโบรกเกอร์ไหนก็ตาม แอดอยากให้ศึกษารายละเอียดให้ดีเสียก่อน จะได้ไม่มาเสียใจภายหลัง ถือว่าแอดเตือนแล้วนะ!!! อย่าลืมมาตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี !
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
กฎของ 72 เป็นสูตรที่เรียบง่าย แต่มีประโยชน์มากสำหรับนักลงทุนที่อยากรู้ว่าเงินลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น สองเท่า ภายในเวลากี่ปี ด้วยอัตราผลตอบแทนรายปีที่กำหนด หรือหากนักเทรดรู้ระยะเวลาที่เงินจะเพิ่มเป็นสองเท่าแล้ว กฎนี้ยังช่วยคำนวณอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่คุณต้องการได้ด้วย
พีระมิดการลงทุนไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังสร้างสมดุลให้พอร์ตการลงทุนได้อย่างยั่งยืน หัวใจสำคัญคือการวางแผนและจัดการพอร์ตให้เหมาะสมกับเป้าหมาย พร้อมทั้งศึกษาและเข้าใจสินทรัพย์แต่ละประเภทอย่างลึกซึ้ง
บทวิเคราะห์ทองคำ
แม้ว่า Bitcoin และ Ethereum จะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและมีแนวคิดแบบกระจายศูนย์เหมือนกัน แต่พวกมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป้าหมายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง Bitcoin ถูกออกแบบมาให้เป็นทางเลือกแทนเงินสดหรือทองคำในโลกดิจิทัล มันมีโครงสร้างที่เรียบง่ายและมุ่งเน้นการเป็นแหล่งเก็บมูลค่า ในทางกลับกัน Ethereum เป็นแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นสูง ใช้สำหรับพัฒนาแอปพลิเคชัน เช่น DeFi (การเงินแบบกระจายศูนย์), NFT (สินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ซ้ำกัน) และการใช้งานอื่น ๆ ในโลก Web3 การที่ Ethereum สามารถรองรับการเขียนโค้ดในธุรกรรมได้ ทำให้มันกลายเป็น "บล็อกเชนสำหรับนักพัฒนา" และมีความเร็วในการทำธุรกรรมที่เหนือกว่า
STARTRADER
FxPro
FBS
IQ Option
IC Markets Global
FXTM
STARTRADER
FxPro
FBS
IQ Option
IC Markets Global
FXTM
STARTRADER
FxPro
FBS
IQ Option
IC Markets Global
FXTM
STARTRADER
FxPro
FBS
IQ Option
IC Markets Global
FXTM