简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:ในทางทฤษฎีนั้น Bitcoin (BTC) ควรทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อด้วยความที่มันเข้าถึ
ในทางทฤษฎีนั้น Bitcoin (BTC) ควรทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อด้วยความที่มันเข้าถึงได้ง่าย, มีอุปทานที่คาดการณ์ได้และธนาคารกลางไม่สามารถจัดการอะไรกับมันได้ตามอำเภอใจ อย่างไรก็ตามนักลงทุนไม่ได้ทำเหมือนมันเป็นเครื่องป้องกันเงินเฟ้อตลาดคริปโตกำลังสะท้อนตัวเองเป็นเหมือนกับตลาดหุ้นทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? มาดูสิ่งที่กีก cryptocurrency จากการทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเพื่อให้มันประพฤติตัวเป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อในอนาคต Crypto อาจเป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยง แต่บางอย่างยังไม่เอื้ออำนวย Crypto นั้นนำเสนอโซลูชั่นที่ไม่เหมือนใครมันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาธนาคารกลางซึ่งคุณไม่สามารถสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจไปกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงและด้วยความที่มันมีอุปทานที่จำกัดมันมันจึงมีมูลค่าในตัวเองไปโดยปริยาย ผู้คนที่ใช้บล็อกเชนผ่านโปรโตคอล Proof-of-Stake สามารถเข้าถึงเงินทุนของพวกเขาได้ตลอดเวลาในขณะที่รับเงินรางวัลจากการ stake อย่างต่อเนื่องจากยอดเงินในปัจจุบันของพวกเขานั่นหมายความว่าร้อยละของผลตอบแทนรายปีนั้นจะผูกอยู่กับกิจกรรมทางเศรษฐกิจบน chain ผ่านเงินทุนของพวกเขาและกลไกกระจายผลตอบแทนจากการ stake ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ดูเหมือนมันอาจจะช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อในระบบการเงินแบบดั้งเดิมแต่ยังคงมีอุปสรรคบางอย่างอยู่ ก่อนอื่นเราลองมามองถึงสาเหตุที่ผู้คนเลือกลงทุนและถือคริปโต ผู้ถือคริปโตส่วนใหญ่มองเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านั้นในอนาคตซึ่งก็หมายความว่ามูลค่าบางส่วนของพวกมันจะยังไม่มีอยู่ในตอนนี้ คริปโตเป็นการลงทุนเพื่อการเก็งกำไร Bitcoin ที่ให้ความ decentralized แก่ผู้ใช้ได้แต่ก็แลกมากับค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่สูงลิบลิ่วนั้นยังไม่ได้รับการแก้ไขอีกทั้งกำลังขุดส่วนมากก็ไปกองรวมกับ pool ขุดเจ้าใหญ่ ๆ ตัวของ Ethereum (ETH) เองก็มีปัญหาในลักษณธที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับการใช้พลังงานและการรวมศูนย์ของ pool ขุด นอกจากนี้ Ethereum ยังมีปัญหาด้านความปลอดภัยอีกด้วยในปีนี้มีเหรียญ ETH ที่ถูกขโมยไปแล้วกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์จากบล็อกเชน ปัญหาเงินเฟ้อเกิดจากการขาดความไว้วางใจนั่นเป็นสิ่งที่ crypto ยังคงต้องการ อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากการพิมพ์เงินเพิ่มแค่อย่างเดียว แต่ด้วยการมีอยู่ของสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นกลับไม่ได้ทำให้มูลค่าของมันลดลงโดยอัตโนมัติ ระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนของปี 2008 จำนวนเงินหมุนเวียนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นมากว่า 3 เท่า แต่อัตราเงินเฟ้อกลับลดลง อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นยังมีส่วนเอี่ยวกับความไม่ไว้วางใจของสาธารชนที่มีต่อระบบการเงินส่วนกลาง อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดจากการพิมพ์เงินเพื่อบรรเทาปัญหาการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของ COVID-19
กดอ่านข่าว Crypto อาจกลายเป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อเพียงแต่จะยังไม่ใช่ช่วงเวลานี้ ต่อที่ Siam Blockchain
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
XM
FxPro
EC Markets
ATFX
IC Markets Global
HFM
XM
FxPro
EC Markets
ATFX
IC Markets Global
HFM
XM
FxPro
EC Markets
ATFX
IC Markets Global
HFM
XM
FxPro
EC Markets
ATFX
IC Markets Global
HFM