มาตรการเยียวยาโควิด-19 อาจทำเงินเฟ้อขั้นรุนแรง?

เป็นข่าวเศรษฐกิจที่สะเทือนวงการการลงทุนอย่างมาก เมื่อ Michael Burry นักลงทุนชื่อดัง ออกมาเตือนว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเงินมหาศาลของสหรัฐ อาจทำให้เกิดเงินเฟ้อขั้นรุนแรง (Hyperinflation) และทำให้ฟองสบู่ตลาดหุ้นสหรัฐฯแตกได้ ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ครั้งนี้ก็ต้องทำให้ไทยออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเช่นกัน แต่จะส่งผลไปถึงเงินเฟ้อหรือไม่อย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้

ว่าด้วยเรื่องการเตือนของ Michael Burry ทำไมการเตือนของเขาจึงน่าจับตามอง？ เพราะ Burry คนนี้คือเจ้าของตำนานผู้พิชิตวิกฤตซับไพรม์สหรัฐฯ เมื่อปี 2008 ขณะนั้นเขาคือนักลงทุนคนแรกที่มองเห็นว่าฟองสบู่ตลาดอสังหาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐจะแตกและได้ทำการ Short Sell ไว้และหายตัวไป จนสุดท้ายฟองสบู่ตลาดอสังหาอสังหาริมทรัพย์ก็แตกจริง ๆ และ Burry ก็สามารถทำกำไรได้มหาศาลจนสุดท้ายเรื่องราวของเขาถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ “The Big Short”

ในครั้งนี้ Burry ออกมาทวิตเตือนนักลงทุนว่า “เตรียมตัวรับมือกับอัตราเงินเฟ้อไว้ให้ดี การกลับมาเปิดเมืองใหม่หลังการฉีดวัคซีน และเงินกระตุ้นเศรษฐกิจมากมายจะทำให้เกิดเงินเฟ้อสูง รู้ไหมว่าทุกวันนี้รัฐบาลต้องใช้เงิน 3 เหรียญอัดฉีดเข้าระบบเพียงเพื่อจะสร้างให้ GDP โตขึ้น 1 เหรียญ แบบนี้มันอยู่ไม่รอดหรอก” สหรัฐกำลังอาจต้องเผชิญกับเงินเฟ้อขั้นรุนแรง ที่คล้ายกับมหาอำนาจอย่างเยอรมันเคยต้องเผชิญในปี 1920

Burry อธิบายว่าในช่วงปี 1920 นั้น รัฐบาลเยอรมันเชื่อว่าด้วยแสนยานุภาพของกองทัพและเทคโนโลยีของพวกเขา จะทำให้เขาชนะสงครามได้ และประเทศจะต้องร่ำรวยขึ้นจากการเป็นผู้ชนะสงคราม แต่แทนที่จะหาเงินมาผลิตอาวุธด้วยการเก็บภาษีหรือออกพันธบัตร รัฐกลับตัดสินใจที่จะ “พิมพ์เงิน” ออกมาจำนวนมาก และพอมีเงินออกมาเยอะโดยไม่มีทรัพย์สินอะไรมาเป็นหลักประกัน และประเทศไม่ได้ร่ำรวยขึ้นจริง ๆ พอพวกเขาพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างหนัก จนถึงขั้นมีการบันทึกไว้ว่าเงินเยอรมันได้เคยเฟ้อจนถึงจุดต่ำสุดที่เงิน 1 เหรียญสหรัฐเคยมีค่าสูงถึง 4,200,000,000,000 มาร์ค (สี่ล้านสองแสนล้านมาร์ค)

Burry เตือนว่าสหรัฐฯ กำลังอยู่ในเหตุการณ์คล้ายกัน แม้โลกตอนนี้จะไม่มีสงครามเหมือนอดีต แต่สิ่งที่สหรัฐฯ และทั่วโลกเจอ คือสงครามจากโรคระบาดที่รับมือได้ยาก และสุดท้ายหากสหรัฐฯ เลือกยังเลือกวิธีนี้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็อาจมีจุดจบไม่ต่างจากเยอรมนี

สถานการณ์เดียวกันนี้ ทำให้ไทยก็ต้องออกมาตรการเยียวยา กระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้ความเห็นว่าเรื่องเงินเฟ้อของไทยไม่น่าห่วง โดยนาง พิมพ์ชนก พิตต์ฟีลด์ ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า สถานการณ์โควิดก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบการจับใช้จ่ายของประชาชน แต่เชื่อว่า การมีวัคซีน, มาตรการต่าง ๆของภาครัฐ ทั้ง “คนละครึ่ง”, “เราชนะ”, “เรารักกัน” ที่ทยอยออกมา รวมทั้งการลงทุนโครงการต่าง ๆ จะกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งผลให้เงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวดีขึ้น และทำให้เงินเฟ้อทั้งปี 2564 เป็นไปตามเป้า เคลื่อนไหวในกรอบ 0.7 ถึง 1.7 % โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 1.2% บนสมมุติฐานจีดีพีไทยปีนี้ ขยายตัว 3.5-4.5%

เงิน 200,000 ล้านบาท ที่เป็นตัวตั้งต้นจากรัฐบาลอัดฉีด น่าจะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างน้อย 400,000 ล้านบาท และยังทำให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวทั้งปีมากกว่าไม่มีโครงการ ถ้ารัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างดีต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2 และ 3 อย่างน้อย 200,000 ใน 400,000 ล้านบาท ก็มีโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโต 2-3% ได้ง่าย และยังทำให้มีสัญญาณของการฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับจนถึงสิ้นปี

ทั้งนี้ทั้งนั้นบทความนี้เป็นการรวบความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดผลตามที่กล่าวไว้ตามนั้นทั้งหมด เพราะยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวถึง ในโลกเศรษฐกิจอะไรก็เกิดขึ้นได้ ยังไงก็วอนนักลงทุนติดตามข่าวสารให้ทันทุกการเปลี่ยนแปลง ดาวน์โหลด WikiFX เพื่อติดตามข่าวสาร และบทความเหล่านี้ หรือหากต้องการคาดการณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าที่มีผลต่อการลงทุน ก็สามารถดูปฏิทินข่าวทั่วโลกได้ที่นี่เช่นกัน โหลดฟรี WikiFX

อย่าตกเป็นเหยื่อโบรกเกอร์ Forex เถื่อน! เพราะโบรกเกอร์ Forex เถื่อนชอบโกงเงินนักลงทุน คุณต้องดาวน์โหลด WikiFXเพื่อตรวจสอบว่าโบรกเกอร์ Forex ใดควรเทรดด้วย ไม่งั้นจะเสียใจทีหลัง ดาวน์โหลดฟรี!